29 02 2012

 

         ถ้าจะเอ่ยถึงความหวังสูงสุดของชาวอังกฤษในเวลานี้ คงจะหนีไม่พ้นเวย์น รูนี่ย์ กองหน้าเจ้าของร่างอวบอั๋นที่หลายคนแซวว่า “หมู” แต่ฝีเท้าจริงๆ นอกจากจะไม่ใช่หมูธรรมดาแล้ว รูนี่ย์ ยังดุดันไม่ต่างจาก “หมูป่า” อีกด้วย!

         เวย์น มาร์ค รูนี่ย์ 1 ใน 3 ลูกชายของบ้านรูนี่ย์  เป็นนักเตะที่มีความมหัศจรรย์มากที่สุดของวงการฟุตบอลอังกฤษในยุคนี้ เหนือยิ่งกว่าไมเคิล โอเว่น กองหน้ามหัศจรรย์ของทีมลิเวอร์พูลเสียอีก และที่ตลกร้ายไปกว่านั้นคือทั้งคู่แจ้งเกิดในสโมสรร่วมเมืองเดียวกัน แต่เป็นคนละสี

         โอเว่น คือขวัญใจสีแดงของลิเวอร์พูล ขณะที่รูนี่ย์ คือความภาคภูมิใจของชาวเอฟเวอร์โตเนี่ยนสีน้ำเงิน

         รูนี่ย์ มีบ้านเกิดอยู่ในย่านคร็อกซ์เทธ และได้รับแรงบันดาลใจในการฝากตัวเป็นสาวกท๊อฟฟี่เม็นจากครอบครัว และยังคงมีใจให้กับเอฟเวอร์ตันเสมอ โดยภาพที่ประทับใจผู้คนคือการสวมเสื้อยืดที่พิมพ์ลายสกรีนว่า “Once a blue, Always a blue”

         แน่นอนว่าด้วยความรักที่มีต่อเอฟเวอร์ตัน ทำให้เจ้าหนูรูน มีความปรารถนาที่จะสวมเสื้อสีน้ำเงินเข้มลงเล่นในสนามกูดิสัน ปาร์ค ต่อหน้าชาวเอฟเวอร์โตเนี่ยนทั้งผอง และฝันนั้นของรูนี่ย์ ก็เริ่มมีเค้าลางความจริงเมื่อเขาได้รับการเซ็นสัญญาเป็นผู้เล่นในทีมเยาวชนในวันเกิดอายุครบรอบ 11 ปี อันเป็นผลพวงมาจากผลงานที่โดดเด่นสุดๆในสมัยเป็นนักเรียนโรงเรียน ลิเวอร์พูล สคูลบอยส์ และทีมเยาวชนเดอะ ไดนาโม บราวนิ่งส์





29 02 2012

  villa      

        หนึ่งในศูนย์หน้าที่ดีที่สุดของสเปนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา คงจะต้องมีชื่อของ ดาวิด บีย่า รวมอยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับบาเลนเซียในฤดูกาล 2004-05 ที่ผ่านมา

         เจ้าของสมญานาม ‘El Guaje’ (แปลว่าเจ้าหนู ในภาษา Astrian) เป็นหัวหอกที่เปี่ยมไปด้วยทักษะและสัญชาตญาณของการพังประตู การจบสกอร์ที่ยอดเยี่ยม ความเร็วและความครบเครื่องไม่ว่าจะเป็นการยิงด้วยเท้าและลูกกลางอากาศที่ทำได้ดีไม่แพ้กัน ก็ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทั้งสโมสรและทีมชาติได้อย่างรวดเร็ว





29 02 2012

 

เนมานย่า วิดิช

ในเวลานี้ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักสุดยอดปราการหลังของ”ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดผู้นี้ ซึ่งดูเหมือนว่าได้ก้าวมาเป็นหัวใจสำคัญของเกมส์รับแทนริโอ เฟอร์ดินานเสียแล้ว 

ก่อนการย้ายมาร่วมทีมสปาร์ตัก มอสโคว์ ในเดือนกรกฎาคม 2004 ด้วยค่าตัว 4 ล้านปอนด์ เขาเริ่มต้นการเล่นฟุตบอลอาชีพที่สโมสรเรด สตาร์ เบลเกรด ซึ่งในตอนนั้นที่ยังเป็นนักเตะดาวรุ่งอยู่ เขาทำได้ 12 ประตูจากการลงเล่น 67 นัด และยังได้เป็นกัปตันทีมอีกด้วย 

แม้ว่าอายุยังน้อย วิดิช ก็ลงเล่นเป็นตัวจริงอย่างสม่ำเสมอในตำแหน่งหัวใจสำคัญของแผงกองหลังสปาร์ตัก มอสโคว์ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาก่อนที่จะย้ายทีมครั้งสำคัญในชีวิตมาสู่สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

การได้รับใบเหลืองเพียง 12 ใบจากการลงเล่น 30 นัดให้กับสปาร์ตัก มอสโคว์ ในปี 2005 ทำให้วิดิช ได้รับชื่อเสียงอย่างรวดเร็วในฐานะเซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่เล่นอย่างฉลาดและมีความสามารถในการเล่นลูกกลางอากาศที่ดีเยี่ยม

จากฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นในการลงเล่นให้กับทีมชาติเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ปี 2005 จนกระทั่งผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ในปี 2006 ที่เยอรมันได้สำเร็จ จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายสโมสรชั้นนำในยุโรปต่างมาเคาะประตูของสปาร์ตัก มอสโคว์ ถามหากองหลังที่ชื่อเนมานย่า วิดิช

จากการเสียไปเพียงประตูเดียวในรอบคัดเลือก (ราอูล ของสเปนเป็นผู้พังประตูได้) แผงกองหลังของทีมชาติเซอร์เบียฯ จึงมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยวิดิช ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นดาวเด่นของแผงกองหลังชุดนี้

ในนัดสุดท้ายของฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก โซนยุโรป กลุ่ม 7 ที่ทีมชาติเซอร์เบียฯ เอาชนะทีมชาติบอสเนียฯ ไปได้ 1-0 วิดิช เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมแม้ว่าเขาจะได้รับใบแดงถูกไล่ออกจากสนามไปก่อนหมดเวลา 5 นาทีก็ตาม

แม้ว่าสโมสรอย่างลิเวอร์พูล และฟิออเรนติน่า จะแสดงความสนใจออกมา อย่างไรก็ตาม กองหลังวัย 24 ปีรายนี้ทำให้กองเชียร์ปิศาจแดง ทั่วโลกพึงพอใจด้วยการเซ็นสัญญาระยะเวลา 4 ปีย้ายเข้ามาร่วมชายคาโอลด์ แทรฟฟอร์ด ในเดือนมกราคม 2006

ด้วยความสูง 188 เซนติเมตร และสไตล์การเล่นแบบดุดันแข็งแกร่ง ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะนำวิดิช ไปเปรียบเทียบกับอดีตยอดกองหลังของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างเช่น สตีฟ บรูซ และยาป สตัม ในช่วงที่มีการเซ็นสัญญากับสโมสร

แต่เมื่อตอนที่มาถึงเมืองแมนเชสเตอร์ เขาพยายามหลีกเลี่ยงการนำไปเปรียบเทียบดังกล่าว “เมื่อตอนที่ผมยังเป็นเด็กก็มีนักเตะเก่งๆ หลายคน แต่ที่จริงแล้วผมไม่ได้พยายามเอาอย่างหรือเลียนแบบนักเตะคนใดทั้งนั้น และผมก็ไม่มีนักเตะที่เป็นต้นแบบโดยเฉพาะแต่อย่างใด” เขากล่าว

“ผมพยายามที่จะเป็นตัวของตัวเอง เล่นในสไตล์ของผมเอง และสร้างรูปแบบของตัวเองขึ้นมา”

ในฤดูกาล 2008/09ที่ผ่านมา ชื่อเสียงของวิดิชเริ่มเป็นที่ยอมรับ ฟอร์มของเขาดีกว่าฤดูกาลก่อนๆเป็นอย่างมาก เขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทีมปีศาจแดงไม่เสียประตูติดต่อกันถึง 14 นัด จนกระทั่งมีชื่อเข้าลุ้นรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี ของพีเอฟเอ (PFA Player of the Year) ซึ่งถ้าว่ากันตรงๆแล้ว นอกจาก 2 นัดที่แพ้ให้ลิเวอร์พูล ซึ่งวิดิชฟอร์มหลุดอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเจอทีมเทพเข้าไป นอกเหนือจากนั้นถือว่ามีผลงานที่ดีมาก ผลจบฤดูกาล แมนยูคว้าแชมป์ และเขาก็ได้รางวัล “นักเตะยอดเยี่ยมในใจแฟนๆ” และ “นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี” ไปครอง





29 02 2012

อังเดร อาร์ชาวิน

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อเต็ม : อังเดร เซอร์เกเยวิช อาร์ชาวิน
วันเกิด : 29 พฤษภาคม 1981 (อายุ 27 ปี)
สถานที่เกิด : เมืองเลนินกราด สหภาพโซเวียต (ปัจจุบันคือ เมืองเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย)
ส่วนสูง : 1.72 เมตร (5 ฟุต 7.5 นิ้ว)
ตำแหน่ง : กองหน้าตัวต่ำ, มิดฟิลด์ตัวรุก, ปีก
สโมสรปัจจุบัน : เซนิต เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
ทีมชาติ : รัสเซีย

ประวัติ

อังเดร อาร์ชาวิน นักฟุตบอลชื่อดังทีมชาติรัสเซีย มีชื่อเต็มว่า “อังเดร เซอร์เกเยวิช อาร์ชาวิน” ปัจจุบันสังกัดสโมสรฟุตบอล เซนิต เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 1981 ที่เมืองเลนินกราด สหภาพโซเวียต (ปัจจุบันคือ เมืองเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก สหพันธรัฐรัสเซีย) โดย อาร์ชาวิน เป็นผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวต่ำที่มีความเร็วและเต็มไปด้วยทักษะในการครองบอล, อ่านเกม และ การสร้างสรรค์เกมรุกที่เฉียบขาด อย่างไรก็ดี เขาก็ยังสามารถเล่นตำแหน่งในมิดฟิลด์ตัวรุก และปีกได้ดีไม่แพ้กันอีกด้วย 





29 02 2012

 

ปาร์ค จีซุง

ปาร์ค จีซุง เริ่มอาชีพนักฟุตบอลกับทีมเกียวโต เพอเพิลฯ ในปี 2000 เขาเป็นนักเตะคนหนึ่งที่มีทักษะเฉพาะตัวและมีพลังงานสูง สามารถเล่นได้ทั้งตำแหน่งปีกซ้าย และกองกลาง ด้วยความสามารถอันยอดเยี่ยมของเขาทำให้ได้รับความสนใจจากวงการฟุตบอลยุโรป โดยเริ่มจากการที่ กุส ฮิดดิ้งค์ เข้าคุมทีมชาติเกาหลีใต้ ทำให้สื่อมวลชนและแฟนฟุตบอลให้ความสนใจทีมชาติเกาหลีใต้ มากขึ้น และทำให้ได้มองเห็นความสามารถที่โดดเด่นของเขา “ปาร์ค จีซุง”

หลังจากจบเกมฟุตบอลโลกปี 2002 ด้วยฝีเท้าของเขาก็ทำให้ กุส ฮิดดิ้งค์ ชักชวนให้เข้าไปร่วมทีมพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น  ทีมจากลีกฮอลแลนด์ และเขาก็ย้ายไปเซ็นสัญญาร่วมทีม ในวันที่ 21 ธันวาคม 2002

กับทีมพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น นั้น ปาร์ค จีซุง ถือว่าเป็นนักคนสำคัญของทีม และที่นั่นเขาก็ได้แสดงให้เห็นว่าเขาก็เป็นนักเตะอายุน้อยอีกคนหนึ่งที่มีความสามารถสูงในตำแหน่งกองกลาง โดยใช้เวลาปรับตัวกับทีมและรูปแบบฟุตบอลยุโรปอยู่เกือบ 2 ปี

เขาโด่งดังมากๆ ในปี 2005 จากการที่เขายิงประตูเอซี มิลาน ได้ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกรอบ semi-final เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ถึงแม้ทีมของเขาจะตกรอบไปก็ตาม แต่สำหรับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แล้วได้ส่งแมวมองติดตามฝีเท้าของ ปาร์ค ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่ย้ายเข้ามาเล่นฟุตบอลยุโรป และด้วยความสามารถที่ฉายแสงในปี 2005 นี่เอง ก็ทำให้ทีมปีศาจแดง ติดต่อที่จะซื้อเขาเข้ามาร่วมทีม โดยต้องแย่งชิงกับสโมสรเชลซี และอีกหลายสโมสรจากอิตาลี แต่แล้วเขาก็ตกลงที่จะเซ็นสัญญาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 4 ล้านปอนด์ ในวันที่ 8 กรกฏาคม 2005 ที่ผ่านมา

ภายใต้ชุดผีศาจแดง ซุงถูกวางให้เป็นตัวเลือกอันดับสองของทีมรองจากกิ๊กส์ ทำผลงานกับทีมได้ค่อนข้างดี ถ้ากิ๊กส์แขวนสตั๊ดไปแล้ว กองกลางที่เป็นชาวเอเชียคนแรกที่ได้อยู่กับทีมแมนยู คงจะได้รบเลือกให้เป็นตัวจริงอย่างแน่นอน





29 02 2012

 

 

 

โรบินโญ่

 

โรบินโญ่ หรือที่มีชื่อเต็มว่า “ร็อบสัน เดอ ซัวซ่า” เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม 1984 เป็นนักเตะชาวบราซิเลี่ยน ที่ปัจจุบันค้าแข้งอยู่กับ สโมสร “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยักษ์ใหญ่ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ โดยก่อนที่เขาจะมาโด่งดังเป็นนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงได้แบบปัจจุบันนี้ โรบินโญ่ เกิดใน ปาร์กัว บิตารู ซึ่งเป็นย่านคนจนในเมือง ซาน บิเซนเต้ ในประเทศ บราซิล

อย่างไรก็ตาม ณ สถานที่นี้ ก็ได้เป็นจุดกำเนิดของการเล่นฟุตบอลในช่วงต้นของชีวิตของโรบินโญ่ อีกด้วย เส้นทางการค้าแข้งของ โรบินโญ่ เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่อายุ 6 ขวบ เมื่อเขาได้เซ็นสัญญากับทีมไบร่า มาร์ ซึ่งเป็นทีมท้องถิ่นในรัฐเซา เปาโล และเพียงแค่ปีแรกเขาและเพื่อนร่วมทีมก็สามารถคว้าแชมป์ได้ทันที

และเจ้าตัวเริ่มเป็นที่รู้จักของแฟนบอลในประเทศบ้านเกิดตอนที่อายุได้เพียง 9 ขวบ เมื่อถล่มประตูได้มากถึง 73 ประตูให้กับปอร์ตัวริออส ซึ่งทีมเป็นฟุตซอล เมื่อปี 1993 ก่อนที่ ซานโต๊ส ทีมดังของลีกแซมบ้า จะจับเขาเซ็นสัญญาในฐานะนักเตะเยาวชน ที่ตอนนั้นมีตำนานลูกหนังอย่าง “ไข่มุกดำ” เปเล่ เป็นคนดูแลอยู่





29 02 2012

 

โรนัลโด้ “ยอดดาวยิงบราซิเลียน”

หากพูดถึง ดาวยิงระดับพระกาฬในยุคนี้ ชื่อของ โรนัลโด้ กองหน้าทีมชาติบราซิล คงจะโผล่ขึ้นมาอยู่ในใจของแฟนบอลทั่วโลก เป็นรายชื่อแรกๆ อย่างแน่นอน จากฝีเท้าอันสุดฉกาจที่เขาได้สำแดงต่อสายตาชาวโลก มาเป็นเวลานานร่วม 10 ปี และความสำเร็จมากมายที่เขากอบโกยมาประดับบารมีให้กับตัวเอง

โรนัลโด้ มีชื่อเต็มว่า โรนัลโด้ หลุยส์ นาซาริโอ เดอ ลิม่า เกิดเมื่อวันที่ 22 กันยายน ปี 1976 เขาเป็นชาวบราซิล ที่ย้ายมาพำนักในยุโรป ตั้งแต่อายุยังน้อย เนื่องด้วยฝีเท้าที่ยอดเยี่ยมเกินวัย ทำให้โด่งดังในวงการลูกหนังบ้านเกิดมาตั้งแต่อายุยังน้อย จนโดน พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ทีมยักษ์ใหญ่ของฮอลแลนด์ คว้าตัวมาร่วมทีม ในปี 1994 ในตอนที่เขาอายุเพียง 18 ปี

เส้นทางในอาชีพค้าแข้งของ โรนัลโด้ เริ่มต้น ในวัย 14 ปี เมื่อเขาถูกแนะนำให้กับทีมชาติบราซิลชุดเยาวชน โดย แจร์ซินโญ่ อดีตนักเตะระดับตำนานของทีม “แซมบ้า” นอกจากนั้น แจร์ซินโญ่ ยังแนะนำให้สโมสรครูไซโร่ อดีตต้นสังกัดของเขา จัดการเซ็นสัญญาคว้าเจ้าหนูสิงห์นักเตะรายนี้ มาร่วมทีมทันทีที่เข้าสู่วัยที่สามารถเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพได้แล้ว

ในปี 1993 โรนัลโด้ วัย 16 ปี จัดการถล่มประตูให้กับทีมชาติบราซิล รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ได้ถึง 59 ประตู จากการลงสนาม 57 นัด และในปีต่อมาเขาก็ถูกเรียกไปติดทีมชาติชุดใหญ่ พร้อมทั้งถูกเลือกให้ติดทีม “เซเลเซา” ชุดที่ไปทำศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ปี 1994 ที่สหรัฐอเมริกา อีกด้วย โดยที่ คาร์ลอส อัลแบร์โต้ ปาร์เรร่า กุนซือของทีมชาติบราซิล ชุดนั้น หวังว่า เจ้าหนูมหัศจรรย์ของเขา จะได้เรียนรู้อะไรดีๆจาก โรมาริโอ และ เบเบโต้ กองหน้ารุ่นพี่ ที่เป็นกำลังสำคัญของทีมแซมบ้า ในเพลานั้น

ทีมชาติบราซิล สามารถทะละทะลวงคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1994 มาครองได้ ทำให้ โรนัลโด้ ก็ได้เหรียญแชมป์ฟุตบอลโลก มาครองไปด้วย ในขณะที่มีวัยเพียง 17 ปี แม้ว่าเขาจะไม่ได้ลงสนามในฟุตบอลโลก ครั้งนั้น เลยก็ตาม

หลังจากนั้นอีก 4 ปี ในฟุตบอลโลก 1998 ที่ ฝรั่งเศส เป็นเจ้าภาพ โรนัลโด้ ในวัยฉกรรจ์ ก็พาบราซิล เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ อีกครั้ง ก่อนจะไปพ่ายให้กับ ฝรั่งเศส แบบยับเยิน ชนิดคาใจคนทั้งโลก ท่ามกลางข่าวลือว่า โรนัลโด้ ไม่ฟิตสมบูรณ์ ก่อนลงเตะนัดชิงชนะเลิศ แต่ก็ต้องฝืนสังขารลงไปยืนค้ำ ขู่แผงกองหลังฝรั่งเศส เพราะสปอนเซอร์ส่วนตัวของเขา ต้องการอย่างนั้น

อย่างไรก็ตาม โรนัลโด้ และพลพรรคนักเตะบราซิล ก็มาแก้ตัวได้สำเร็จ ในฟุตบอลโลก 2002 ที่ เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพ เมื่อคว้าแชมป์โลก สมัยที่ 5 มาครองได้ ด้วยการปราบ เยอรมัน ในรอบชิงชนะเลิศ และเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก สมัยที่ 2 ของ โรนัลโด้ และเขายังคว้ารางวัลดาวซัลโวของการแข่งขันมาครองได้ ด้วยการซัดไป 8 ประตู

ส่วนเส้นทางในระดับสโมสรนั้น หลังจากที่ ได้เซ็นสัญญานักเตะอาชีพกับครูไซโร่ ด้วยวัย17 ปี โรนัลโด้ ก็ซัดไปกระจุยกระจาย 12 ประตู จากการลงสนาม 14 นัด ก่อนจะถูก พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ดึงตัวมาร่วมทีมในฤดูกาล 1994-1995 และ โรนัลโด้ ก็มาสร้างความฮือฮาในลีกฮอลแลนด์ เป็นดาวซัลโวสูงสุดของลีกดัตช์ ทำให้ บาร์เซโลน่า ทีมพี่เบิ้มของสเปน ดึงตัวมาร่วมทีม ในฤดูกาล 1996-1997 และ ดาวยิงฟันเหยิน ก็กดไประเบิดระเบ้อ 47 นัด จากการลงสนาม 49 นัด พาทีมคว้าแชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ มาครองได้ ก่อนจะย้ายไปร่วมทีม อินเตอร์ มิลาน ทีมชั้นนำของอิตาลี ในฤดูกาลต่อมา

โรนัลโด้ มีประสบการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ในการค้าแข้งกับ อินเตอร์ มิลาน เมื่อโดนปัญหาบาดเจ็บ รบกวนอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังอุตสาห์ยิงไปถึง 49 ประตู จากการลงสนาม 68 นัด ก่อนจะถูก รีล มาดริด ทีมมหาอำนาจของสเปน คว้าตัวมาร่วมทีม ในปี 2002 ด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 27 ล้านปอนด์ และเขาก็พาทีม “ราชันชุดขาว” คว้าแชมป์ ลา ลีกา มาครองได้ ในปี 2003 ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์ลีก มาครองได้เป็นครั้งแรก ในอาชีพของเขาอีกด้วย

แต่หลังจากนั้น ชื่อเสียงของโรนัลโด้เริ่มตกลง เขาเริ่มมีปัญหาทางด้านความฟิต บวกกับสภาพร่างกายที่อ้วนเป็นหมู ฤดูกาล 2006-07 ที่เขาได้ลงแค่ 13 นัด(แต่อุตส่าห์ยิงได้ 4 ลูก) นั่นเป็นฤดูสุดท้ายของเขา และชุดขาว เมื่อเขาถูกขายออกจากทีมไป และก็เป็นเอซี มิลาน ทีมคู่ปรับอดีตทีมของโล้นทองคำ ที่มาเซ้งต่อระหว่างฤดูกาล ในราคา 7.5 ล้านยูโร และด้วยผลงานฤดูกาลครึ่งของเขา ได้ลงสนามทั้งสิ้น “20 นัด” ยิงได้ 9 ลูก บ่งบอกว่า สภาพความฟิตของเขาไม่พร้อมที่จะเล่นในลีกชั้นนำอีกต่อไป

เข้าปี 2008 ชื่อเสียงของโรนัลโด้เริ่มตกลง และสัญญาของโรนัลโด้กับทีมก็หมดลงด้วย แน่นอนว่าทางสโมสรไม่ต่อสัญญากับเขา เขาหายตัวไปช่วงหนึ่ง จนกระทั่งกลับมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง กับทีม “โครินเธียนส์”

โครินเธียนส์ สโมสรชื่อดังจากประเทศอังกฤษ เป็นผู้ดึงตัวโรนัลโด้ กลับมาเล่นให้ลีกบ้านเกิดอีกครั้ง ซึ่งแฟนๆต่างเฉลิมฉลองการมาเล่นให้กับทีมของเขาโดยเชือว่า โรนัลโด้จะต้องพาทีมโครินเธียนส์คว้าแชมป์ลีกได้อย่างแน่นอน

แต่ได้อย่างก็เสียอย่าง ความคมในการทำประตูของเหยินทองคำ ยังอยู่ครบถ้วน แต่ปัญหาเดียวและปัญหาเดิมของเขาก็ยังอยู่ นั่นคือ สภาพร่างกายที่ไม่ฟิต ไม่มีใครในทีมเชื่อเลยว่า การทดสอบความฟิตทางร่างกายของเขากับทีมครั้งแรก “โรนัลโด้ อยู่อันดับโหล่!!!” ฤดูกาล 2008/09 โรนัลโด้ได้ลงแค่ 12 นัดเท่านั้น แต่ก็ทำได้ถึง 9 ประตู ณ บัดนี้ ใกล้ถึงบั้นปลายการค้าแข้งของเขาแล้ว ต้องดูว่าเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป

ขณะที่เกียรติยศส่วนตัวนั้น โรนัลโด้ ได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของโลก ที่จัดโดยสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า มาครองได้ 3 ครั้ง ในปี 1996, 1997 และ 2002





29 02 2012
 
 
 

 

 สตีเว่น เจอร์ราร์ด “กองกลางมหัศจรรย์ของอังกฤษ”

Steven Gerrad

สตีเว่น เจอร์ราร์ด ยอดกัปตันทีมแห่งค่าย “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล มีชื่อเต็มว่า สตีเว่น จอร์จ เจอร์ราร์ด เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1980 ที่เมืองวิสตัน เมอร์ซี่ย์ไซด์ ลิเวอร์พูล เข้าสู่เส้นทางลูกหนังจากการลงเล่นให้กับโรงเรียนคาร์ดินัล ฮีแนน คาธอลิก ไฮจ์สคูล ในเวสต์ดาร์บี้ เมืองลิเวอร์พูล โดยในตอนที่อายุ 8 ขวบ เขาเป็นสมาชิกของทีม ลิเวอร์พูล วายทีเอส  ก่อนที่จะเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพของทีม “หงส์แดง” ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 1997 โดยได้รับเงินค่าจ้างก้อนแรกที่ 700 ปอนด์ (ประมาณ  44,100 บาท) ต่อสัปดาห์

เจอร์ราร์ด ได้ชื่อว่าเป็นกองกลางพลังไดนาโม  โดยเขาเริ่มแจ้งเกิดมาในตำแหน่งปีกขวา ก่อนที่จะขยับมาเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ  แต่ด้วยความเป็นนักเตะที่มีความสามารถทั้งการช่วยเกมรับ และการเติมเกมรุก แถมยังยิงไกลได้แม่นยำ ทำให้ เจอร์ราร์ด จึงค่อยๆ เปลี่ยนบทบาทของตัวเองมาเป็นกองกลางเชิงรุกไปแล้ว





29 02 2012

เดวิด โรเบิร์ต โจเซฟ เบ็คแฮม (David Robert Joseph Beckham) เกิดวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1975 เป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษ ปัจจุบันมีสัญญาอยู่กับสโมสรแอลเอแกแล็คซี่ในอเมริกา แต่ทีมเอซี มิลานยืมตัวมาเป็นฤดูกาลที่สองแล้ว  และเป็นกัปตันของทีมชาติอังกฤษตั้งแต่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000 ถึง 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2006
เบ็คแฮมเป็นนักเตะหนึ่งในสี่คนที่เล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกมากกว่า 100 นัด เขายังเป็นนักเตะที่เล่นให้ทีมชาติอังกฤษ 94 ครั้ง มากที่สุดเป็นอันดับ 5 (ก.ค. 49) และเป็นคนอังกฤษเพียงคนเดียวที่ทำประตูได้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 3 ครั้ง ใน ฟุตบอลโลก 1998 2002 และ 2006 รวมทั้งหมด 17 ประตู ชื่อเสียงของเบ็คแฮมนอกสนามแข่งนั้นโด่งดังกว่าในสนามมาก เฉพาะในสหราชอาณาจักรแล้ว ชื่อเบ็คแฮมเทียบได้กับแบรนด์อย่างโค้กหรือไอบีเอ็มเลยทีเดียว

           เบ็คแฮมได้รับเครื่องราชเป็นนายทหารแห่งจักรวรรดิบริเตน (Officer of the British Empire) จากสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2





29 02 2012
 
 

 

 

เธียร์รี่ อองรี สุดยอดดาวยิงแดนน้ำหอม

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อเต็ม : เธียร์รี่ ดาเนี่ยล อองรี
วันเกิด : 17 สิงหาคม 1977 (อายุ 30 ปี)
สถานที่เกิด : เลส อูลิส, เอสซองเน่, ฝรั่งเศส
ส่วนสูง : 1.88 เมตร (6 ฟุต 2 นิ้ว)
ตำแหน่ง : กองหน้า, ปีก
สโมสรปัจจุบัน : บาร์เซโลน่า
ทีมชาติ :  ฝรั่งเศส

ประวัติความเป็นมา

เธียร์รี่ อองรี หรือชื่อเต็มว่า “เธียร์รี่ ดาเนี่ยล อองรี” นักฟุตบอลชื่อดัง เกิดเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ปี 1977 ที่กรุงปารีส ประเทศ ฝรั่งเศส ปัจจุบัน ค้าแข้งอยู่กับสโมสร บาร์เซโลน่า ยอดทีมในศึกลา ลีกา สเปน โดยเขาเล่นในตำแหน่งกองหน้า รวมถึงยังสามารถโยกไปเล่นในตำแหน่งปีกได้อีกด้วย อาจได้กว่า ชื่อของ อองรี ได้รับการยกย่องว่าเป็นดาวเตะฝีเท้าระดับพระกาฬ ที่โดดเด่นในการจบสกอร์ และการสร้างสรรค์เกมรุกที่น่าตื่นตาตื่นใจ ในวงการลูกหนังปัจจุบัน